ไทยโดนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% – อ่านให้รู้ว่าเรื่องนี้ “กระทบ” หรือ “เปิดโอกาส”?
1 สิงหาคม 2025 – เป็นวันที่ภาคส่งออกของไทยต้องบันทึกไว้ เพราะ ทำเนียบขาวประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 19% เท่ากับกัมพูชาและมาเลเซีย พร้อมกับขยายเส้นตายภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกไปอีก 90 วัน
แม้ฟังดูเหมือนข่าวดี แต่คำถามคือ…
นี่คือโอกาสทางเศรษฐกิจ หรือสัญญาณความกดดันทางการเมืองกันแน่?
การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มาจากแรงกดดัน 2 ทางใหญ่จากฝั่งสหรัฐฯ:
1. แรงกดดันทางการค้า: สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดการเจรจาข้อตกลงทางการค้าในเงื่อนไขที่อเมริกาพึงพอใจมากขึ้น
2. แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์: ต้องการให้ไทยเร่งจัดการและยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดนกับกัมพูชา ซึ่งเพิ่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 28 ก.ค.
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แสดงจุดยืนว่า “อเมริกายังจับตาอาเซียนอยู่” และอาจกำลังใช้มาตรการทางภาษีเพื่อเร่งรัดการเมืองในภูมิภาคให้คลี่คลายเร็วขึ้น
การ” แต่นี่คือยุทธศาสตร์การคัดเลือกสินค้าที่ “ไม่ได้กระทบผู้ผลิตไทย” มากนัก
การที่สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเหลือ 19% ในปี 2025 สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจไทย และแน่นอนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบในหลายด้าน
ฝั่งบวกที่ชัดเจนคือ ภาคส่งออกที่อาจฟื้นตัว ทำให้โรงงานและคลังสินค้าในเขตอุตสาหกรรมอย่าง EEC หรือสมุทรปราการมีดีมานด์สูงขึ้น ราคาที่ดินก็มีแนวโน้มปรับขึ้นตาม
ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติก็อาจฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมหรือสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ โครงการใหม่ๆ อย่าง One Bangkok หรือ North Ville จะได้รับความสนใจมากขึ้น
แรงงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของภาคผลิต อาจกระตุ้นความต้องการบ้านระดับกลาง-ล่างในพื้นที่ชานเมือง เช่น ชลบุรี ฉะเชิงเทรา หรือปทุมธานี
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้
นักลงทุนบางกลุ่มยังชะลอการตัดสินใจ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่
สุดท้าย บทบาทของไทยที่เพิ่มขึ้นในเวทีอาเซียน อาจช่วยให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางสำนักงานและธุรกิจระดับภูมิภาค ส่งผลบวกต่ออสังหาฯ เพื่อการเช่าในระยะยาว